เมตา (Meta) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก กำลังเตรียม “เลย์ออฟ” พนักงานครั้งใหญ่สุดเป็นประวัติการณ์ในสัปดาห์นี้ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มีพนักงานถูกเลิกจ้างหลายพันคน
สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างอิงถึงข้อมูลจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) ระบุว่าเมื่อวันอาทิตย์ (6 พ.ย.) ว่า เมตา แพลตฟอร์มส อิงค์ วางแผนที่จะปลดพนักงานครั้งใหญ่ โดยเตรียมที่จะประกาศออกมาภายในวันพุธที่ 9 พ.ย.นี้ถึงการปรับลดพนักงานครั้งใหญ่ดังกล่าว ขณะที่ เมตา ยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานดังกล่าว
เมตา ออกมาคาดการณ์เมื่อเดือน ต.ค. ว่าผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายของปีซึ่งเป็นช่วงหยุดเทศกาลอาจจะย่ำแย่ อีกทั้งต้นทุนค่าใช้จ่ายในปีหน้าก็จะสูงขึ้นมากด้วย ส่งผลให้มูลค่าในตลาดหุ้นของ เมตา หายไปทันทีถึง 67,000 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่สูญเสียมูลค่าทางการตลาดไปแล้วกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้
อย่างไรก็ดีสถานการณ์ที่น่ากังวลของ เมตา มีขึ้นท่ามกลางปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก บวกกับการแข่งขันที่ดุเดือดกับ TikTok ซึ่งมาแรงขึ้นเรื่อยๆตลอดจนการปรับเปลี่ยนนโยบายความเป็นส่วนตัวของแอปเปิลและความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายมหาศาลที่ เมตา ทุ่มไปกับ Metaverse รวมไปถึงกฎระเบียบที่เข้มงวด
ขณะที่ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอเมตา ยอมรับว่า การลงทุนใน Metaverse อาจจะต้องใช้เวลาถึง 10 ปีกว่าจะเริ่มเห็นผลกำไร ซึ่งในขณะนี้ เมตา จำเป็นต้องระงับการจ้างพนักงานเพิ่ม และปิดตัวโปรเจ็กต์บางอย่าง และปรับโครงสร้างบริษัทใหม่เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด
“ในปี 2023 เราจะโฟกัสการลงทุนไปในพื้นที่ที่มีโอกาสในการเติบโตสูงจำนวนไม่มาก ซึ่งหมายความว่าทีมงานบางทีมจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ทีมอื่นๆ ส่วนใหญ่จะคงอยู่เท่าเดิมหรือลดขนาดให้เล็กลงในช่วงปีหน้า กล่าวโดยสรุปก็คือเราจะสิ้นสุดปี 2023 โดยมีขนาดที่ไม่ต่างจากเดิม หรืออาจลดลงเล็กน้อยจากที่เราเป็นอยู่ในวันนี้” ซักเคอร์เบิร์ก กล่าว
ขณะที่ย้อนกลับไปช่วงเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมาเมตา ประกาศลดการจ้างวิศวกรลงอย่างน้อย 30% ขณะที่ ซักเคอร์เบิร์ก ก็เตือนให้พนักงานเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่
ด้านบริษัท อัลติมิเตอร์ แคปิตอล แมเนจเมนต์ (Altimeter Capital Management) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นเมตา เคยยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง ซักเคอร์เบิร์ก โดยระบุว่า เมตา จำเป็นที่จะต้องลดพนักงานและต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ลง พร้อมทั้งเตือนว่า เมตา “สูญเสียความเชื่อมั่น” จากนักลงทุนไปมากแล้ว จากการที่บริษัททุ่มเทงบประมาณและเบนเข็มไปสู่ Metaverse
นอกจากนี้การที่ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว บวกกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อ และวิกฤตพลังงานในยุโรป ส่งผลให้บริษัทด้านเทคโนโลยีหลายรายไม่ว่าจะเป็นไมโครซอฟต์, ทวิตเตอร์, และ สแนป อิงค์ ต่างมีการปลดพนักงานบางส่วนออกและเบรกการจ้างงานเพิ่มในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา