วิกฤตความสัมพันธ์ระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติกับ “ทราย สก๊อต” บทเรียนของการทำงานร่วมกันที่ล้มเหลว

ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับ SEO

ในห้วงเวลาที่การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติกำลังเป็นประเด็นสำคัญของสังคมไทยและโลก ความขัดแย้งระหว่างองค์กรภาครัฐกับนักอนุรักษ์อิสระกลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กรณีล่าสุดระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กับ “ทราย สก๊อต” นักอนุรักษ์ชื่อดังที่ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานฯ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการบูรณาการการทำงานระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคม

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนถึงสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่ได้มีคำสั่งให้ทราย สก๊อต พ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการ แต่เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักอุทยานแห่งชาติ พร้อมกับข้อเสนอต่างๆ จากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมอุทยานฯ ยืนยันว่าไม่มีการปิดกั้นหรือห้ามทราย สก๊อต เข้าพื้นที่อุทยานแห่งชาติ แต่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบราชการด้วยการขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่และหัวหน้าอุทยานแห่งชาติในแต่ละพื้นที่ก่อน

ประเด็นที่น่าสนใจคือเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงแนวโน้มผลการพิจารณา นายอรรถพลได้แสดงความเห็นที่ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ว่าจะไม่มีการต่อสัญญาตำแหน่งที่ปรึกษาให้กับทราย สก๊อต หลังจากสิ้นสุดวาระในวันที่ 30 กันยายน 2568 นี้ โดยระบุถึงปัญหาหลักในการทำงานร่วมกันว่าเกิดจากทัศนคติที่ไม่ตรงกัน การไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน รวมถึงการเหยียบย่ำกัน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างยากลำบาก

“เรื่องนี้หากรถทัวร์จะลงกรมอุทยานฯ ก็ขอให้พิจารณาตามข้อเท็จจริง การทำงานร่วมกันไม่ว่าจะเป็นทราย สก๊อต หรือองค์กรใด หากไม่สามารถยอมรับข้อผิดพลาดและปรับปรุงตนเองได้ ก็ควรถอยออกจากการทำงานร่วมกัน” นายอรรถพลกล่าว

นายอรรถพลยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในช่วงแรกของการทำงาน ทราย สก๊อต ถือเป็นนักอนุรักษ์ที่มีความสามารถและช่วยงานกรมอุทยานฯ ได้ดี แต่ในระยะหลังเริ่มมีปัญหาเกิดขึ้น โดยเฉพาะการเข้าพื้นที่โดยนำบุคคลภายนอกเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทางกรมอุทยานฯ ได้มีการตักเตือนหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไข นอกจากนี้ ยังมีกรณีการใช้วาจาที่ไม่เหมาะสมกับหัวหน้าอุทยานและเจ้าหน้าที่หลายครั้ง จนนำมาสู่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ประเด็นที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือเรื่องของการถ่ายทำในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ซึ่งนายอรรถพลได้อธิบายว่า การถ่ายคลิปวิดีโอหรือถ่ายทำรายการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติสามารถทำได้ ไม่ได้มีการห้าม แต่จะต้องอยู่ภายใต้การพิจารณาและอนุญาตของหัวหน้าอุทยานแห่งชาติในแต่ละพื้นที่ การถ่ายทำเพื่อนำไปเผยแพร่ในสื่อโซเชียลมีเดียสามารถทำได้ แต่มีข้อควรระวัง

“การถ่ายคลิปที่ออกสื่อไปจนส่งผลกระทบต่อกลุ่มบุคคลหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งอาจมีทั้งข้อเท็จจริงและไม่มีข้อเท็จจริง ถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำและต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะในเรื่องที่อาจสร้างความขัดแย้งในสังคม หรือก่อให้เกิดความเห็นที่แตกแยกกัน ซึ่งอาจทำให้สังคมเกิดความสับสน” นายอรรถพลกล่าว

กรณีความขัดแย้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย ที่มักมีความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและนักอนุรักษ์อิสระ ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีเป้าหมายในการปกป้องและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเช่นเดียวกัน แต่วิธีการและแนวทางในการดำเนินงานอาจแตกต่างกัน

การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคมจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจ การให้เกียรติซึ่งกันและกัน รวมถึงการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การยอมรับในข้อผิดพลาดและการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของประเทศให้คงอยู่อย่างยั่งยืน

ท้ายที่สุดแล้ว บทเรียนจากกรณีนี้อาจนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและนักอนุรักษ์อิสระที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพกฎระเบียบ การให้เกียรติซึ่งกันและกัน และการมุ่งเน้นผลประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติและประเทศชาติเป็นสำคัญ เพราะเป้าหมายสูงสุดของทุกฝ่ายคือการอนุรักษ์และปกป้องทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่กับประเทศไทยและโลกของเราตลอดไป